รัฐบาลไทยเตรียมโอนเงินสนับสนุนสูงสุด 2,000 บาท ให้กับร้านค้าขนาดเล็กกว่า 400,000 ราย ที่ผ่านการอบรมออนไลน์ตามเงื่อนไขของโครงการ คนละครึ่งพลัสเฟส 1.5 ซึ่งจะถูกโอนเข้าบัญชี ธนาคารกรุงไทย ที่ผูกกับแอป ถุงเงิน ในวันที่ 25 ธันวาคม 2568 โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันสุดท้ายของโครงการ แต่ต้องผ่านการประเมินจากช่องทางอบรมที่รัฐกำหนดไว้

ร้านค้าต้องเลือกทางอบรม 3 ช่องทางเท่านั้น

ร้านค้าที่อยากได้เงินสนับสนุนต้องเลือกเรียนรู้ทักษะใหม่ผ่านช่องทางเดียวจากสามทางที่รัฐเปิดให้เลือก ช่องทางแรกคือการสมัครเป็นร้านค้าบนแพลตฟอร์มส่งอาหาร เช่น Grab, Lineman, Robinhood หรือ ShopeeFood โดยต้องมีคำสั่งซื้อผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสอย่างน้อย 5 รายการระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน - 19 ธันวาคม 2568

ช่องทางที่สองคือการอบรมกับ ธนาคารออมสิน ผ่านเว็บไซต์ www.gsb.or.th หลักสูตรชื่อเต็มว่า “Smart Finance Upskill” ต้องผ่านการทดสอบก่อนและหลังเรียน โดยคะแนนหลังเรียนต้องสูงกว่าก่อนเรียน และไม่น้อยกว่า 60% สำหรับร้านค้าบุคคลธรรมดา ต้องเรียนครบ 3 หลักสูตร แต่ร้านนิติบุคคลเรียนแค่ 1 หลักสูตรเท่านั้น ใช้เวลาเพียง 30 นาทีต่อหลักสูตร ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องลาหยุดงาน

ช่องทางที่สามคือการอบรมกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ผ่านระบบ DBD Academy ต้องเลือกเรียนหนึ่งในห้าหลักสูตร เช่น การตั้งราคาขาย การทำบัญชีรายรับรายจ่าย หรือการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล ต้องสอบผ่านไม่น้อยกว่า 70% และคะแนนหลังเรียนต้องสูงกว่าก่อนเรียน ห้ามให้คนอื่นเรียนแทน เพราะระบบจับการเข้าเรียนด้วยเลขบัตรประชาชน

เงื่อนไขที่ร้านค้าต้องไม่ละเมิด

แม้จะดูเหมือนง่าย แต่มีเงื่อนไขที่ร้านค้าต้องระวังอย่างมาก ต้องใช้เลขบัตรประชาชนหรือเลขผู้เสียภาษีที่ตรงกับการลงทะเบียนในโครงการคนละครึ่งพลัสเดิม ห้ามเป็นผู้ประกอบการขนส่งมวลชน หรือเคยถูกตัดสิทธิ์จากโครงการรัฐใดๆ แม้จะเรียนครบ แต่ถ้าไม่ได้ยอดขายขั้นต่ำ 21,000 บาทระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน - 19 ธันวาคม ก็ยังไม่ได้รับเงิน

ที่น่าสนใจคือ รัฐไม่ได้ให้เงินแค่เพราะเรียนจบ แต่ต้องพิสูจน์ว่า “เรียนแล้วขายได้จริง” ซึ่งเป็นกลไกที่ต่างจากโครงการก่อนหน้าที่มักให้เงินแค่เพราะเข้าร่วม นี่คือการเปลี่ยนจาก “ให้เงินเพื่อช่วย” เป็น “ให้เงินเพื่อพัฒนา”

ทำไมต้องเป็น 25 ธันวาคม 2568?

วันที่ 25 ธันวาคม 2568 ไม่ใช่วันบังเอิญ แต่เป็นวันที่รัฐบาลตั้งใจเลือกให้ตรงกับช่วงก่อนปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่ร้านค้ารายย่อยมีรายได้สูงสุดในปี นี่คือการเติมพลังให้ร้านค้าก่อนเข้าสู่ฤดูทอง แม้จะดูเหมือนไกล แต่รัฐบาลเริ่มต้นตั้งแต่ปลายปี 2567 เพื่อให้ร้านค้ามีเวลาปรับตัว

การเลือกโอนผ่าน ถุงเงิน ยังมีจุดประสงค์เชิงกลยุทธ์ คือการสร้างฐานข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งในอนาคตอาจใช้เป็นข้อมูลในการออกแบบโครงการช่วยเหลือที่แม่นยำยิ่งขึ้น

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

โครงการนี้ไม่ได้แค่ให้เงิน 2,000 บาทต่อร้าน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของร้านค้าเล็กๆ ที่เคยขายของในตลาดหรือหน้าบ้าน ให้เริ่มมองตัวเองเป็น “ธุรกิจดิจิทัล” จริงจัง

จากข้อมูลของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร้านค้าที่เคยผ่านการอบรมดิจิทัลในปีที่ผ่านมา มีรายได้เพิ่มเฉลี่ย 37% ในสามเดือนถัดมา โดยเฉพาะร้านที่ใช้แอปส่งอาหาร รายได้เพิ่มเกือบ 50% นี่คือตัวเลขที่ไม่ใช่การคาดการณ์ แต่เป็นผลลัพธ์ที่วัดได้

แต่ก็มีข้อกังวลจากกลุ่มร้านค้าในพื้นที่ห่างไกล ที่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเสถียร หรือไม่รู้จักใช้สมาร์ทโฟน รัฐบาลยังไม่มีแผนช่วยเหลือกลุ่มนี้โดยตรง ซึ่งอาจทำให้โครงการนี้ “ช่วยคนที่มีความสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี” มากกว่า “ช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือ”

อะไรจะเกิดต่อจากนี้?

หากโครงการนี้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย รัฐบาลอาจขยายเป็น “คนละครึ่งพลัสเฟส 2” ภายในปี 2569 โดยเพิ่มหลักสูตรการตลาดผ่าน TikTok และ Instagram รวมถึงการเชื่อมโยงกับระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ร้านค้าสามารถลดภาษีได้โดยอัตโนมัติเมื่อใช้ระบบบัญชีดิจิทัล

นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนา คาดว่า ถ้าร้านค้า 400,000 ราย ใช้เงินสนับสนุนนี้เพื่อซื้ออุปกรณ์ดิจิทัล เช่น แท็บเล็ต หรือเครื่องสแกนบาร์โค้ด อาจกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นได้มากกว่า 1.2 พันล้านบาทในปีเดียว

Frequently Asked Questions

ร้านค้าที่ไม่มีสมาร์ทโฟนจะเข้าร่วมได้ไหม?

ไม่สามารถเข้าร่วมได้ เพราะทุกขั้นตอนต้องใช้แอปถุงเงินและระบบออนไลน์ ไม่มีช่องทางพิมพ์เอกสารหรือติดต่อทางโทรศัพท์เพื่อลงทะเบียน ร้านค้าที่ไม่มีสมาร์ทโฟนควรขอความช่วยเหลือจากลูกค้าหรือคนในครอบครัวที่มีอุปกรณ์ เพื่อช่วยดำเนินการ

ถ้าเรียนจบแล้วแต่ไม่ได้ยอดขาย 21,000 บาท จะได้เงินไหม?

ไม่ได้รับเงินสนับสนุนแน่นอน แม้จะผ่านการอบรมครบตามเกณฑ์ รัฐบาลต้องการให้เงินนี้เป็น “แรงจูงใจเพื่อเพิ่มยอดขาย” ไม่ใช่ “ค่าตอบแทนสำหรับการเรียน” ดังนั้นยอดขายคือเงื่อนไขหลักที่ต้องพิสูจน์

อบรมกับธนาคารออมสินกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ต่างกันอย่างไร?

ธนาคารออมสินเน้นเรื่องการเงินส่วนตัว เช่น การทำบัญชีรายรับรายจ่าย การจัดการเงินสด ส่วนกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเน้นการบริหารธุรกิจ เช่น การตั้งราคา การตลาดออนไลน์ การจัดการสินค้า ร้านค้าควรเลือกตามจุดอ่อนของตัวเอง

ถุงเงินคืออะไร ทำไมต้องใช้บัญชีกรุงไทย?

ถุงเงินคือแอปที่รัฐบาลพัฒนาขึ้นเพื่อจัดการเงินอุดหนุนต่างๆ ที่ผูกกับบัญชีธนาคารกรุงไทย เพราะเป็นธนาคารรัฐที่มีเครือข่ายทั่วประเทศและระบบเชื่อมโยงกับข้อมูลผู้ประกอบการรายย่อยอย่างสมบูรณ์ ไม่สามารถใช้บัญชีธนาคารอื่นได้

มีค่าใช้จ่ายในการอบรมไหม?

ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งการลงทะเบียน การเรียนออนไลน์ และการสอบ รัฐบาลรับผิดชอบทุกอย่าง แต่ระวังเว็บไซต์หลอกลวงที่อ้างว่า “ต้องจ่ายค่าลงทะเบียน” หรือ “ต้องซื้อหลักสูตร” เพราะเป็นการหลอกลวง

ถ้าผิดพลาดตอนลงทะเบียน จะแก้ไขได้ไหม?

แก้ไขไม่ได้หลังจากวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ระบบจะปิดการลงทะเบียนโดยอัตโนมัติ หากลงทะเบียนด้วยเลขบัตรประชาชนผิด หรือใช้เลขผู้เสียภาษีไม่ตรงกับโครงการคนละครึ่งพลัสเดิม ร้านค้าจะถูกตัดสิทธิ์ทันที ควรตรวจสอบข้อมูลให้แน่ใจก่อนยืนยัน